ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ต้นเหตุ

๑๑ เม.ย. ๒๕๖๓

ต้นเหตุ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “ตัวรู้ในวิปัสสนา”

กราบนมัสการหลวงพ่อ อยากขออนุญาตกราบหลวงพ่อ กราบเรียนถามเกี่ยวกับคำว่า ตัวรู้เจ้าค่ะ

เคยมีโอกาสได้ฟังเทศน์จากที่ต่างๆ ซึ่งพระอาจารย์ทั้งหลายได้กล่าวถึงตัวรู้ในการฝึกวิปัสสนาค่ะ อยากขออนุญาตขอกราบเรียนถามว่า ตัวรู้นี้คือสิ่งใด และสามารถปฏิบัติให้พบหรือสัมผัส หรือเห็นตัวรู้นี้ได้อย่างไรเจ้าคะ

ยังมีอีกเรื่องที่อยากขออนุญาตกราบเรียนเพื่อกราบขออภัยพ่อแม่ครูจารย์หลวงพ่อเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ ได้ส่งหน้ากากผ้าซึ่งสามารถสอดแผ่นกรองพีเอ็ม ๒.๕ ได้มาถวาย ในขณะนั้นผู้ขายแจ้งว่าแผ่นกรองสามารถซักใช้ได้ ๑ เดือน (หน้ากากผ้าสามารถซักได้เรื่อยๆ) แต่ได้อ่านในเว็บไซต์ของผู้ผลิตพบว่า ใช้ได้มากที่สุดคือ ๑ สัปดาห์เท่านั้น จึงขออภัยหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ได้โปรดเมตตาให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ

ตอบ : ไอ้เรื่องเราเป็นคนกลางไง เราเป็นคนกลาง เราไปซื้อสินค้าเพื่อไปถวายพระ ถ้าถวายพระ ถ้าเราผลิตเอง เราทำเองได้ เราทำเองของเราเอง เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราทำอย่างไรก็ได้ มันอยู่ที่ศรัทธาความเชื่อของแต่ละบุคคล

แต่นี่เราต้องไปซื้อเขามา ไปซื้อของเขา แล้วเวลาคนที่เขาขายสินค้าของเขา เขาก็ต้องการกำไรของเขา ถ้ากำไรของเขา เราซื้อเขามาแล้วด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์แล้วถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อก็รับแล้ว รับแล้วนะ นี่มีคนมาถวาย ถวายไว้มากพอสมควร เราก็แจกจ่ายไปในสิ่งที่เขามีความจำเป็นต้องใช้

หน้ากากผ้า หน้ากากผ้าของพระมีคนถวายมามาก เราก็ให้พระที่อยู่ตามสำนักต่างๆ ที่เขาต้องเดินทางมาที่วัดของเรา เพราะบางพื้นที่บางจังหวัดถ้าไม่คาดผ้าอนามัยผ้าคาดปาก เขาปรับ ๒๐,๐๐๐

เราให้แต่ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ได้ใช้ เราก็ได้ส่งต่อไป

แต่ถ้าเป็นของโยมถวายมา ของโยมถวายมาก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว จบ สิ่งที่ความเป็นประโยชน์ขึ้นมามันเป็นประโยชน์ไง ไม่ต้องไปวิตกไม่ต้องไปกังวลไง ถ้าวิตกกังวลเกินไปแล้ว เห็นไหม

กรณีนี้เหมือนกับที่หลวงปู่มั่นท่านพูดถึง พูดถึงว่ามีแม่ชีกับน้องชายบวชเณร สร้างเจดีย์ๆ ไง แล้วก็ไปพัวพันติดพันกับเจดีย์นั้นน่ะ เวลาตายไปแล้ว เวลาหลวงปู่มั่นท่านภาวนาไป เห็นสองคนพี่น้องมาเดินวนอยู่เจดีย์ เดินวนอยู่นั่นน่ะ

ท่านเห็นแล้วท่านก็ถามว่า เป็นเพราะอะไรล่ะ

อู้ฮู! สองคนพี่น้องมีศรัทธามีความเชื่อได้สร้างเจดีย์แต่สร้างยังไม่เสร็จ สิ้นชีวิตไปก่อน แล้วก็เลยความเป็นห่วงเป็นใย ความเป็นห่วงเป็นใย ก็เลยมาเฝ้าอยู่เจดีย์นี้

หลวงปู่มั่นท่านก็เทศนาว่าการนะ ความดีคือความดี เราทำได้คุณงามความดีแล้ว เราก็ก่อสร้างเจดีย์แล้ว แต่มันยังไม่สำเร็จ แล้วเราต้องเสียชีวิตไปก่อน แล้วก็ติดพันกับความดีของตนไง ความดีเป็นความดี ความดีให้เป็นบุญเป็นกุศลกับเราแล้ว เราไปติดที่วัตถุนั้น

เวลาเทศนาว่าการจนแม่ชีนั้นกับเณรนั้นเข้าใจแล้วปล่อยวาง ปล่อยวางความยึดติดในเจดีย์นั้น ผลจากการกระทำ การก่อสร้างเจดีย์นั้นเป็นผล เป็นผลที่ทำให้จิตใจนี้มันมีบุญกุศล พอปล่อยวางแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งก็มากราบขอบบุญขอบคุณหลวงปู่มั่นไง

เพราะหลวงปู่มั่นท่านธุดงค์ไป ไปในสภาพที่นั่นแล้วไปเห็นเข้า ท่านก็เทศนาว่าการจนพี่สาวและน้องชายนั้นปล่อยวางจากการยึดติดในวัตถุธาตุนั้น นี่ผลบุญกุศลที่เราได้ทำแล้วมันเข้ากับหัวใจนั้นไป ไปเกิดเป็นเทวดา มาขอบคุณหลวงปู่มั่นๆ

เวลาเราทำของเราเองไง เวลาทำของเราเองเราก็ผูกพันกับสิ่งที่เราทำ แต่บุญกุศลที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากเจตนาที่ดีงามอันนั้น ถ้าเจตนาที่ดีงามอันนั้นทำแล้วจบ

ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เวลาเป็นธรรม เวลาหลวงตาท่านสอนพระสอนเณรไง เวลาสิ่งที่ว่าญาติโยมประชาชนเขาปากกัดตีนถีบเขาได้ห้าได้สิบมาเขาต้องแสวงหาสิ่งดีมาถวายพระ พระเรา พระเราเป็นนักรบ นักรบบิณฑบาตของเขามาได้ปัจจัยเครื่องอาศัยแล้ว เวลาใช้สอยแล้ว ใช้สอยให้เห็นน้ำใจของเขา ให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้ฟุ่มเฟือย อย่าใช้ นี่ท่านสอนมาหมดน่ะ

แล้วถ้าเป็นธรรมๆ การทำ นี่ไง ธรรมทายาท เคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสขิยวัตร การกระทำอย่างนั้นน่ะ ฝึกหัดเป็นนิสัย ฝึกหัด รู้จักประหยัด รู้จักการใช้สอย รู้จักต่างๆ มันเป็นประโยชน์ไปหมดแหละ

นี่ก็เหมือนกัน เราถวายส่งหน้ากากอนามัยผ้ามาแล้ว เราก็รับแล้ว แล้วเราก็แจกจ่ายไปแล้ว สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้มันเป็นประโยชน์สูงสุดในตัวมันเอง นี่ไง สิ่งนั้นจบแล้ว ฉะนั้น ไม่ต้องวิตกกังวล

เวลาโยมถวายแล้ว เวลาในวงการพระนะ เขาบอกว่า เมตตาศรัทธาเขา เมตตาโยมเขา เมตตาเขาจนสายเอ็นเราขาด

นี่เหมือนกัน เมตตาเขาๆ ไง นี่ก็ใครถวายแล้วก็จบ เราก็ใช้สอยหรือแจกจ่ายให้ผู้ที่มีความจำเป็นไป จบแล้ว ไม่ต้องวิตกไม่ต้องกังวล ของที่ใช้ได้เขาใช้ของเขาเพื่อประโยชน์การใช้สอย ถ้าเขาใช้ไม่ได้เขาก็เก็บไว้เป็นประโยชน์อย่างอื่นต่อไป นั่นมันก็จบสิ้นไปนะ นี่พูดถึงผ้าหน้ากากอนามัย จบ

๒ จบแล้วนะ

ทีนี้คำถามนะ คำถามที่ว่า เคยมีโอกาสได้ฟังเทศน์จากที่ต่างๆ ซึ่งพระอาจารย์ทั้งหลายได้กล่าวถึงตัวรู้ ตัวรู้ในการฝึกวิปัสสนาเจ้าค่ะ

ในการฝึกวิปัสสนา ถ้าเป็นพวกอภิธรรมเขาก็รู้เท่ารู้ทันรู้ต่างๆ ตัวรู้ของเขา ถ้าตัวรู้ของเขามันก็อยู่ที่ครูบาอาจารย์ของเขา ต้นเหตุของเขาว่าเริ่มต้นจากอะไร ถ้าเขาเริ่มต้นจากว่า หาตัวรู้ๆ ไง ตัวรู้คือตัวอะไร

แล้วบอกว่า ในการฝึกวิปัสสนาเจ้าค่ะ รู้ในการฝึกวิปัสสนา แล้วกราบเรียนถามว่า ตัวรู้คือสิ่งใด แล้วสามารถปฏิบัติให้พบถึงตัวรู้ได้หรือไม่ แล้วสิ่งที่ว่าตัวรู้นี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ

ตัวรู้ๆ โดยทั่วไปถ้าพูดถึงคนขับรถเวลาประมาทนั่นน่ะเวลาหลับใน หลับในหมดเลย เวลาขับรถหลับใน พอรู้สึกตัวอีกทีก็ประสบอุบัติเหตุไปแล้ว เวลาคนเรามีสติสัมปชัญญะที่ทำกันอยู่นี่มันก็เป็นสัญชาตญาณไง

ดูสิ เขาว่ามนุษย์นี้ต่างจากสัตว์ เพราะมนุษย์มีศีลมีธรรม มนุษย์มีสมองสูงกว่าสัตว์ สัตว์มันใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณของมัน สัตว์เวลามันผสมพันธุ์ ผสมพันธุ์เป็นหน้าเป็นคราวของมันนะ สัตว์มันก็ทำคุณงามความดีของมันนะ เวลามันมีลูกมีหลานของมัน มีลูกของมัน มันคุ้มครองมันดูแล มันฟักไข่ออกมามันต้องเลี้ยงดูจนช่วยตัวเองได้มันถึงจะปล่อยลูกมันไป นี่ไง นี่สัญชาตญาณ ทำโดยสัญชาตญาณ นี่สัตว์

เวลาเป็นมนุษย์ๆ ขึ้นมา มนุษย์มีสมอง มนุษย์ก็มีความรู้สึกนึกคิด นี่สัญชาตญาณ สัญชาตญาณของคนเวลาเกิดอุบัติเหตุ นี่สัญชาตญาณ มันป้องกันตัวมันโดยสัญชาตญาณทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะมันมีสมอง มันมีสมองของมัน มันก็เลยรู้จักคิดไง รู้จักคิด รู้จักป้องกัน รู้จักทางวิชาการต่างๆ นี่มนุษย์

แล้วบอกว่า ตัวรู้ๆ ตัวรู้ก็ตัวใจไง เวลาตัวใจขึ้นมา จะเอาแบบสิ่งที่ว่าสมองคิดนี้ สิ่งที่ว่าสัญชาตญาณของมนุษย์ มนุษย์ที่ทำเป็นตัวรู้หรือไม่

มันเป็นตัวรู้ที่ส่งออกมา ตัวรู้พลังงาน ตัวรู้คือตัวพลังงาน พลังงานมันส่งออกมา

ทีนี้ส่งออกมา เวลาคนที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมา ท่านบอกให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำสมาธิก่อน ทำสมาธิก่อน

ถ้าทำสมาธิก่อน พุทโธๆๆ พุทโธนี่ก็สามัญสำนึกคือความคิดเรานี่ไง พุทโธๆ จนพุทโธกับอารมณ์ พุทโธกับความรู้สึกของผู้รู้มันเข้ากัน มันเข้ากันหมายความว่ามันพุทโธได้ง่ายๆ ไง มันพุทโธแล้วมันคล่องมันแคล่ว มันพุทโธไปได้ต่อเนื่องไง

แต่เวลาเราจะพุทโธ เวลาโดยความรู้สึกนึกคิดของเรา เราก็เคยปล่อยหัวใจเรามันตามสะดวกสบายของมัน มันก็คิดตามแต่ที่เราชอบน่ะ มันชอบอะไรมันก็คิดอย่างนั้น มันชอบสิ่งใดมันก็พอใจอารมณ์ที่มันชอบนั่นน่ะ แล้วเวลาจะให้มันพุทโธนี่มันไม่ชอบ

พอมันไม่ชอบมันก็ขัดแย้งไง พุทโธตะกุกตะกัก พุทโธไปไม่ได้ พุทโธไปแล้วมันแฉลบ เพราะอะไร เพราะว่าพุทโธมันไม่เข้ากับตัวรู้ ธาตุรู้ที่มันสัมพันธ์กันไปไง เพราะตัวรู้ ตัวรู้มันมีอวิชชา มีอวิชชาคือมันมีจริตนิสัยมันมีความพอใจของมัน คนโทสจริต โมหจริต โลภจริต ความชอบแตกต่างกันไป เข้ากันโดยธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เข้ากันโดยธาตุ ธาตุไฟคือคนที่ฉุนเฉียว อารมณ์รุนแรง แต่พวกนี้มีปัญญา ธาตุน้ำเย็นๆๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ เวลาธาตุดินนี่นิ่งเลย นี่มันเข้ากันโดยธาตุๆ ฉะนั้น ธาตุคือจริตนิสัยที่มันเป็นของมันไป

แล้วเวลาอารมณ์ความรู้สึกที่มันมีความพอใจ ความพอใจมันก็คิดของมันตามความพอใจของมัน คิดแล้วมันสะใจของมันเพราะตามกิเลสของมันไง แล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อเราพยายามจะมาบริกรรมพุทโธๆ

พุทโธมันเป็นพุทธานุสติ คือเราระลึกถึงพุทธะ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เด็กๆ เวลาสอน เวลาเด็กๆ เด็กเล็กเด็กน้อยไปหาครูบาอาจารย์ มาหาเรานี่ ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

เขาไม่รู้จักพระพุทธเจ้าหรอก เขาก็รู้ว่าหลวงพ่อสอนอย่างไร ก็สอนคำบริกรรมไง คำบริกรรม เราบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมาเรามีอุปัชฌาย์อาจารย์ เราศึกษาพุทธประวัติ เราศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เราเข้าใจของเรา เข้าใจก็คือความเข้าใจ เข้าใจรู้ธรรมะไปหมดเลย แต่พุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้

เวลาจะมาพุทโธ โอ้โฮ! พุทโธมันคิดถึงพุทธประวัติเลย พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเป็นลูกของพระเจ้าสุทโธทนะ มันไปนู่นน่ะ มันไม่พุทโธที่หัวใจไง เวลาให้กำหนดพุทโธมันถึงขัดมันถึงแย้ง

นี่พูดถึงผู้รู้

ผู้รู้เวลาโดยวิทยาศาสตร์ ผู้รู้ก็คือความรู้สึก แต่โดยธรรมะนะ ผู้รู้มันลึกลับซับซ้อนหลายชั้นน่ะ คำว่า หลายชั้น” เวลาปุถุชนคือคนหนา คนหนาคือคิดตามพอใจเรานี่แหละ เหมือนไอ้พวกติดยาเสพติดถ้ามันติดจนมันไม่พอใจมันกระฟัดกระเฟียดๆ นี่ผู้รู้โดยสามัญสำนึก นี่ผู้รู้ แล้วเวลามันก็กระฟัดกระเฟียดกันไปกับอารมณ์ของมันนั่นน่ะ

แต่เรามีศรัทธามีความเชื่อมาศึกษาพระพุทธศาสนา สิ่งใดผิดศีลผิดธรรม พวกสุราเมรัย พวกยาเสพติดผิดศีลผิดธรรม ไม่ทำ พอไม่ทำมันก็อยู่กับอารมณ์ของตัวไง มันอารมณ์ความรู้สึกความนึกคิดนี่แหละ ความรู้สึกความนึกคิด เราทำสมาธิทำไม่เป็น ทำไม่ได้

ถ้ามันเป็นกรรมฐานนะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มีคำบริกรรมของเรา ถ้ามันปล่อยอารมณ์โดยความรู้สึกนึกคิดโดยสามัญสำนึกของมนุษย์ มนุษย์ที่เคยคิด คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด แต่มันหยุดไม่ได้ มันหยุดไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสขับดันในหัวใจน่ะ เราก็บริกรรมพุทโธๆๆ พุทโธจนมันพุทโธได้ มันเข้ากับพุทโธได้

เพราะเราจะบอกว่า กิเลสมันกลัวธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ มันเป็นวัคซีน วัคซีนที่ป้องกันโรค มันเป็นยารักษาโรค แล้วโรคภัยไข้เจ็บมันไม่ต้องการ มันไม่ต้องการพวกยาพวกเคมีที่จะมาฆ่ามัน มันไม่ต้องการ

กิเลสนี้ร้ายนัก กิเลสนี้มันยึดครองหัวใจของสัตว์โลก จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีครอบครัวของมารครอบครองเป็นเจ้าวัฏจักรอยู่ แล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อมีอำนาจวาสนาบารมีเราก็มาศึกษาพระพุทธศาสนา เวลาศึกษาพระพุทธศาสนามีความเชื่ออยากจะประพฤติปฏิบัติ เขาก็ให้บริกรรมทำสัมมาสมาธิก็หาผู้รู้นี่แหละ แต่ผู้รู้แบบปุถุชน เห็นไหม ปุถุชน กัลยาณชน

ปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนาทำสิ่งใดมันขัดมันแย้งทั้งนั้นน่ะ เวลามันคิดตามสัญชาตญาณของมัน ตามความรู้สึกของมัน มันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวมันเองนี่มันชอบใจ ทำอะไรที่มันเดือดร้อนนี่มันชอบใจ แต่เวลาจะทำคุณงามความดีนะเพื่อให้มันสงบ มันไม่ต้องการ มันไม่พอใจ พุทโธมันถึงพุทโธไม่ได้ไง

ไอ้ที่พุทโธๆๆ แต่ที่พุทโธกันไม่ได้นี่กิเลสมันขัดมันแย้ง กิเลสมันปกมันป้อง กิเลสมันไม่ต้องการให้ไปเห็นตัวมัน มันก็เลยเดี๋ยวแฉลบไปนู่น เดี๋ยวแฉลบไปนี่ นั่นแหละผลของกิเลสที่มันปกป้องตัวมันเอง ผลของกิเลสที่มันจะทำลายผลของการปฏิบัติของเรา ปฏิบัติก็สักแต่ว่าๆ ถ้าทำไม่ได้มันก็สักแต่ว่าทำอยู่นั่นน่ะ

แต่ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานะ พุทโธๆๆ ถ้ามีวาสนา มีขันติธรรม มีสัจจะ มีความอดทน

เพราะการที่จะประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ครูบาอาจารย์ หลวงตา หลวงปู่มั่นท่านพูดเลย ต้องบังคับ เราจะปล่อยตามสบาย อะไรก็ได้ สักแต่ว่า ทำตามสบายๆ...ไม่มีทาง

บังคับ บังคับเลยนะ เข้าทางจงกรมๆ เราพุทโธนับ ๑ พุทโธนับ ๒ นับ ๑ ถึง ๑๐ พุทโธเริ่มต้นใหม่ พุทโธอยู่อย่างนั้นน่ะ ฝึกจนกว่ามันจะยอมพุทโธ พอมันพุทโธได้ๆ จนกว่ามันจะพุทโธ พอมันเริ่มเข้ากันได้มันก็ราบรื่น พอราบรื่นขึ้นมามันละเอียด สติมันพร้อมๆ นะ

สติต้องพร้อม สติต้องไปกับคำบริกรรม สติต้องการการกระทำ เพราะมันพร้อมเพรียงของมัน มันเข้ากันได้มันก็คล่องตัวของมัน เริ่มสบายแล้ว

เพราะพุทโธๆๆ มันร่มเย็นเป็นสุข มันไม่มีสารพิษ ไม่มีอาหารเป็นพิษ ไม่มีสิ่งใดเป็นพิษเป็นภัยกับมันน่ะ มันแบบว่ามีพุทธะคุ้มครอง มันเอาตัวรอดได้แล้วแหละ มันก็สะดวกสบายของมัน แล้วถ้าพุทโธต่อเนื่องไป พุทโธต่อเนื่องไปนะ จนพุทโธไม่ได้ นี่ตัวรู้ ตัวรู้ในสมาธิไง ตัวรู้ในตัวเราไง

แต่ไอ้นี่โดยทั่วไป ตัวรู้ๆ คือความรู้สึก ความรู้สึกนี้มันส่งออก อายตนะมันอยู่ภายนอก แต่ถ้ามันเป็นภายในๆ นะ นี่ตัวรู้

ทีนี้ตัวรู้ๆ ได้ฟังอาจารย์หลายท่าน ท่านบอกตัวรู้ในการฝึกวิปัสสนาเจ้าค่ะ

ไอ้ที่ว่ารู้ตัวทั่วพร้อมของเขามันก็เรื่องของเขา มันชื่อไง มันชื่อว่ารู้ตัวทั่วพร้อมแล้วมันเป็นวิปัสสนา ไอ้สมถะๆ พวกนั้นมันเป็นสมถะ สมถะมันเป็นหินทับหญ้า สมถะมันแก้กิเลสไม่ได้

เพราะในแนวทางปฏิบัติมันมีหลายแนวทาง ใครจะปฏิบัติแนวทางใดก็แล้วแต่ ขอให้ปฏิบัติแล้วได้รับความร่มเย็นเป็นสุข อย่าทุกข์อย่ายากจนเกินไปเลย แล้วถ้ามีธรรมโอสถเป็นที่พึ่งที่อาศัยก็สาธุ อยู่ที่วาสนาของคน

วาสนาของคนเหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าโรงพยาบาล โรงพยาบาลนี้รักษา ๒๐ ปีก็ไม่หายสักที เขาก็เปลี่ยนโรงพยาบาลใหม่ไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เราประพฤติปฏิบัติแล้ว แล้วที่มันปฏิบัติแล้วมันสงบระงับหรือไม่ มันร่มเย็นเป็นสุขหรือไม่

ถ้ามีความสงบระงับมีความร่มเย็นเป็นสุข สิ่งที่เราปฏิบัติปฏิบัติเพื่อความสุขความสงบใจของตน แต่ถ้าปฏิบัติแล้วมันได้ผล มันคืบหน้า หรือว่ามันไม่เป็นสัจจะเป็นความจริงไง มันเข้ากาลามสูตรไง

กาลามสูตร อย่าเชื่อว่าอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อว่าเป็นหมู่คณะของเรา อย่าเชื่อว่าเขาเคยทำได้แล้วมันเป็นไปได้ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ แล้วค้นคว้าในใจของเรา ใจของเรามันเป็นธรรมหรือไม่ ใจของเรามันสงบระงับหรือไม่ ใจของเรามีความสุขจริงหรือไม่ แล้วมันเข้ากับธรรมได้หรือไม่

กาลามสูตรคือการตรวจสอบ ตรวจสอบแล้วถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เราก็ทำให้ได้จริงได้จังขึ้นมา ถ้าไม่ได้จริงไม่ได้จังเราก็แสวงหาข้อเท็จจริงในแนวทางอื่นบ้างก็ได้ ถ้าแนวทางอื่นบ้างก็ได้มันก็เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมาไง

นี่พูดถึงว่า ฟังอาจารย์หลายๆ อาจารย์ท่านว่าถึงตัวรู้ๆ

ตัวรู้ก็ตัวรู้ ตัวรู้มันก็ ต.เต่า ไม้หันอากาศ ว.แหวน ร.เรือ สระอู ไม้โท ตัวรู้ๆ ใครก็พูดได้ เด็กก็พูดได้ ใครก็พูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ความเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างไร นี่พูดถึงว่า ถ้าความเป็นจริงนะ ถ้าความเป็นจริงพูดถึงตัวรู้

เขาถามว่าตัวรู้ไง

ตัวรู้คือต้นเหตุ ตัวเหตุ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แต่หาใจของตนเจอหรือไม่ ถ้ามันหาใจของตนไม่เจอมันก็ภาวนาแล้วมันก็ไม่ได้ผลของมัน ก็เลยกลับมาภาวนา “ภาวนาก็ยังปกติ ภาวนาก็เป็นอย่างนี้ แล้วพระพุทธศาสนาว่ายอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมอย่างไรล่ะ” มันยังไม่ได้ไง

แต่ถ้าคนภาวนานะ คนภาวนาแล้วเราซื่อสัตย์ซื่อตรงกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครจะพูดใครจะว่าอย่างไรมันเรื่องของเขา มันเป็นสิทธิ์ของเขา เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไอ้เราประพฤติปฏิบัติมันก็เป็นสิทธิ์ของเรา

ถ้าเป็นสิทธิ์ของเรา เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็พยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธของเราต่อเนื่องๆ ไป เวลาถ้าเราซื่อสัตย์มีสัจจะกับธรรมะ เราไม่เชื่อถือมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น ภาวนาไปๆ นะ มันเริ่มเบาลงๆ

เวลาเดินไปทั้งปวดทั้งเมื่อยทั้งเจ็บ โอ๋ย! มันทั้งเหนื่อยทั้งกระหาย ทั้งหิวกระหายนะ เวลาเดินไปถ้าจิตมันดีขึ้นมานะ เออ! ชักเบา เดินไปเดินมาเหมือนลอยไปลอยมา ถ้าจิตมันดีๆ นะ เหมือนลอยไปลอยมา

ถ้ามันไม่เข้าสมาธินะ เวลาเข้าสมาธิเหมือนลอยไปลอยมา มันจะเบา พอเบา มันเดินไม่ได้แล้ว ยืน ยืนบนทางจงกรมนั่นน่ะ ยืนกำหนดบนทางจงกรม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ละเอียดเข้าไปๆ ยืนอยู่ ถ้ามันจะเซมันจะล้ม นั่งลงบนทางจงกรม เวลามันดิ่งลง โอ้โฮ! ตัวรู้ ตัวรู้ในสมาธินะ แล้วมันคลายออกมารู้อารมณ์

เวลามันเข้าไปเป็นอิสระของมัน สักแต่ว่ารู้ ไม่รับรู้ถึงร่างกาย ไม่รับรู้ถึงอายตนะ ไม่รับรู้ถึงผิวหนัง ไม่รับรู้ถึงสิ่งใดเลย เหมือนนั่งอยู่นี่ไม่มีอะไรเลยในวัฏฏะ จิตนี้เด่น

แล้วเวลามันคลายตัวออกมา เวลามันจะออกมามันเริ่มคลายตัวออกมา เวลาคลายตัวออกมามันรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของสัญชาตญาณของมนุษย์ เพราะชาติปัจจุบันนี้เราเป็นมนุษย์ เราเป็นคน คนมีกายกับใจ นี่พูดถึงว่าถ้าจิตมันสงบไง นี่ไง เวลาจิตมันสงบนะ

ทีนี้เขาบอกว่าหาตัวรู้ๆ

หาตัวรู้คือทำความสงบของใจเป็น ทำสัมมาสมาธิได้ สัมมาสมาธิ ถ้าใครมีอำนาจวาสนาขึ้นมา ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ

ฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามันจะไม่รู้สิ่งใดเลย ไม่เห็นสิ่งใดเลย เราก็คิดถึงข้อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็คิดถึงการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เราก็คิดถึงชีวิต ชีวิตมีคุณค่าอะไร ชีวิตนี้มาจากไหน ฝึกหัดใช้ๆ ถ้าเรายังไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ฝึกหัดใช้อย่างนี้มันก็ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ไง

พอฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมา พอฝึกหัดใช้ปัญญามันทำให้จิตนี้สะอาดดีขึ้นแวววาวขึ้น เวลามันกลับมาทำความสงบของใจมันก็ทำได้ดีขึ้นๆ นี่พูดถึงว่าการทำความสงบของใจไง

แล้วบอกว่า แล้วกราบเรียนว่า ถ้าตัวรู้มันคือสิ่งใด

ตัวรู้ก็คือธาตุรู้ไง ตัวรู้คือสสารหนึ่ง ธาตุรู้เป็นสันตติ ธาตุที่มีชีวิต ธาตุที่มีชีวิต แร่ธาตุสสารที่ตัวมันเองมีชีวิตของมัน แล้วมันสันตติมันผุดตลอดเวลาต่อเนื่องๆ มันเป็นจิตที่ไม่เคยตาย ธาตุรู้น่ะ ตัวรู้น่ะ แต่เราไม่เคยรู้จักมัน เราทำสมาธิไม่เป็น เราทำสิ่งใดไม่ได้ มันก็เลยไม่ได้แนวทางในการประพฤติปฏิบัติไง แต่ถ้ามันทำสมาธิเป็นแล้ว ทำสมาธิคือเราทำความสงบของใจได้

แล้วถ้าตัวรู้มันคือสิ่งใด สามารถปฏิบัติให้พบหรือสัมผัสตัวรู้ได้อย่างไร

สัมผัสได้ เพราะมีคนไปถามนะ เราอยู่กับหลวงตา มีคนไปถามว่า “หลวงตาเจ้าคะ เวทนามันคืออะไรคะ”

ท่านโยนไม้ให้เลย “มึงเอาไม้ตีตัวมึงน่ะจะรู้”

เวทนาคือความเจ็บ ความรู้ไง ความเจ็บ ความร่มเย็นเป็นสุข นี่เวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา สิ่งที่มันเป็นเวทนามันก็เกิดจากตัวรู้ ถ้าตัวรู้ มันมีตัวรู้ของมัน มีชีวิตของมัน มีความสัมผัสของมัน

“มันสัมผัสตัวรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”

จับแขนตัวนี่ก็รู้ ลมหายใจกระทบปลายจมูกก็รู้ รู้อยู่ทั้งนั้นน่ะ แต่รู้อย่างนี้รู้แผ่ซ่านออกมา รู้แผ่ซ่านออกมาผ่านอายตนะทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ตัวรู้เป็นมโน เป็นมโนกรรม เป็นตัวรู้อยู่ที่กลางหัวอกนี้ แต่มันรับรู้ผ่านตา ผ่านหู ผ่านจมูก ผ่านลิ้น ผ่านกาย ผ่านใจ ผ่านใจไง ใจๆ ที่ว่าเป็นใจๆๆ ผู้รู้ๆ นี่มันผ่าน เพราะอะไร

เพราะมันมีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ผู้รู้มันมีความรู้อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด มันความรู้ของมันไง

“แล้วจะสัมผัสผู้รู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”

สัมผัสผู้รู้ได้ เวลาคนเขานินทาเราเจ็บไหม รู้ไหม

“ผู้รู้เป็นอย่างไรเจ้าคะ”

ใครที่เขาเคยติฉินนินทาเรานั่นน่ะ นั่นล่ะเจ็บๆ นั่นน่ะผู้รู้ เพราะมันรู้ถึงเขานินทา มันรู้ถึงเขาติฉินนินทาเราไง แล้วถ้ารู้ถึงว่าเวลาคนชื่นชมส่งเสริมเราไง ผู้รู้เขารับรู้อย่างนั้นนะ รู้แบบสามัญสำนึกของมนุษย์ไง

แต่ถ้ามันเป็นจิตนะ เป็นจิตล้วนๆ เห็นไหม ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ผู้รู้ เทวดา อินทร์ พรหมเขาก็มีผู้รู้ของเขา ผู้รู้เขาเกิดเสวยภพเป็นเทวดา เสวยภพเป็นอินทร์ เสวยภพเป็นพรหม แล้วเขามาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า นี่ผู้รู้ แต่ผู้รู้เขาเสวยภพไง

นี่ของเราเหมือนกัน ตอนนี้ในปัจจุบันนี้เราคือมนุษย์ไง เราเกิดมาเป็นคนแล้วนะเราถึงได้มาเจอกันไง ถึงได้มารู้จักหลวงพ่อไง แล้วเวลาสิ่งที่เรารู้จักหลวงพ่อ ฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรมมันก็อยู่ที่วุฒิภาวะจะคิดได้มากได้น้อยแค่ไหน

หัวใจของคนมันสูงมันต่ำแตกต่างกันไป จริตนิสัยของคนก็แตกต่างกันไป ความชอบของคนก็แตกต่างกันไป แต่สมาธิก็คือสมาธิไง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้าเป็นฌานสมาบัติก็คือฌานสมาบัติไง มันไม่เข้าข้างใครออกใครหรอก มันเป็นโดยข้อเท็จจริงของมัน แต่จริตนิสัยของคนมันแตกต่างกันออกไป แล้วถ้าทำความเป็นจริงจะแสวงหาตัวผู้รู้ ถ้าได้ผู้รู้แล้ว ผู้รู้แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา

นี่ไง เขาบอกว่าเวลายกขึ้นสู่วิปัสสนาในอภิธรรมเขาก็วิปัสสนาของเขา เขาบอกนี่ต้องวิปัสสนา ต้องมีความเข้าใจ ต้องเข้าใจธรรมะทั้งหมด ถ้าไม่เข้าใจธรรมะทั้งหมดจะปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติแล้ววิปัสสนึกทั้งนั้นเลยนั่นน่ะ

เราจะไม่บอกว่ามันตาลอยๆ นะ ปฏิบัติไปแล้วน่ะ

แต่ของเราถ้าปฏิบัติไม่ได้หรือว่าเราตกใจนี่ตาลอยๆ แต่ถ้าเวลายิ่งรู้ชัดเข้าไปยิ่งนิ่งมาก ยิ่งนิ่ง เห็นไหม สิ่งที่นิ่งเพราะอะไร

เพราะว่าสิ่งที่สัมมาสมาธิมันทำได้ยาก แล้วทำได้ยากจะรักษามันได้อย่างไร

ไอ้เสื่อมน่ะมันง่ายอยู่แล้ว ก่อนที่ปฏิบัติมามันไม่มีสมาธิ มันฟุ้งซ่าน มันไปยึดมั่นถือมั่นสมบัติทั้งโลกว่าเป็นของเราเลยล่ะ ทุกอย่างเราทำได้ เรารู้เราเห็นหมด มันไปยึดมั่นถือมั่นโดยหัวใจ โดยที่เจ้าของเขาก็ไม่รู้นะ ทรัพย์สมบัติที่อื่นเขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของนะ แต่จิตเราไปยึดไว้หมดเลย เวลามันยึดมั่นถือมั่นขนาดนั้นน่ะเวลามันทุกข์มันยากของมันน่ะ

แล้วเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันปล่อยวางเข้ามาๆ ถ้าปล่อยวางเข้ามาเป็นผู้รู้แล้วนะ แล้วถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

เขาบอกว่าสัมผัสได้อย่างไร สัมผัสได้อย่างไรไง

สัมผัส เริ่มต้นสัมผัสก็ลมหายใจชัดๆ มันอุ่นๆ มันร้อนๆ อยู่ตรงนี้ก่อน แล้วถ้ามันชัดมันเจนขึ้นไปนะ เดี๋ยวมันจะอยู่กลางหัวอก แล้วมันหดสั้นเข้ามานะ หดสั้นจากอายตนะ จากเสียงที่กระทบ

เวลานั่งอยู่นะ เสียงนู่นก็รบกวน เสียงนี่ก็รบกวน เวลานั่งที่ไหนก็มันร้อนมันหนาว นี่มันสัมผัสทางอายตนะทั้งหมดเลย แล้วพอมันสัมผัสแล้วมันก็ไม่พอใจ นู่นก็ไม่ได้ดั่งใจ นี่ก็ไม่ได้ดั่งใจ ปฏิบัติแล้วทำไมไม่มีเทวดามาอุ้มสักที มันจะต้องการให้คนมายกย่องมันน่ะ

แต่ถ้ามันซื่อสัตย์โดยตัวมันเองนะ เทวดาเขาเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์นู่น ไอ้เราก็นั่งทุกข์ยากอยู่นี่ ไอ้เราก็จะหาความจริงนี่ จิตที่มันมีคุณค่า จิตที่ว่ามันมีความสำคัญมาก เราก็ไม่รู้ไม่เห็นมันเลย

ที่เรารู้ๆ นี่เรารู้ด้วยบุญนะ ด้วยบุญด้วยความเกิดเป็นมนุษย์ไง มันถึงมีอายตนะมีความสัมผัสไง ความสัมผัสนี้เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่รู้ๆ ไง มันรู้โดยปุถุชน รู้โดยสามัญสำนึกของมนุษย์ไง เวลาที่มันสงบแล้ว เวลาวิปัสสนาไปมันละสังโยชน์ มันละสังโยชน์ละความผูกพันของใจไง ใจมันเป็นอิสระเป็นชั้นเป็นตอน ก็อยู่ในร่างกายของมนุษย์นี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ก็อยู่ในร่างกายเดิม สอุปาทิเสสนิพพาน สิ่งเศษเหลือทิ้งจากการเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ

การเกิดเป็นมนุษย์มันเป็นภพชาติหนึ่ง ถ้าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราได้เสวยภพเสวยชาติ ชาตินี้ได้ทำดีทำชั่วขนาดไหน ตายไปผลบุญอันนั้นมันก็จะให้ผลกับจิตที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะต่อไป

แต่ถ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อาสวักขยญาณชำระล้างกิเลส สำรอกคายอวิชชาทั้งหมด ไม่มีอวิชชา ไม่มีผู้ไม่รู้ รู้ชัดเจน มันจะไปเกิดที่ไหน มันไม่เกิด แต่ชีวิตของมนุษย์ที่มัน ๑๐๐ ปี ถ้ามันสำเร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ อายุขัยที่เหลือนั่นน่ะสิ่งเหลือเศษ เศษที่เหลือคือเศษเหลือที่ว่าจิตนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว มันจะดูแลจะรักษามันต่อไปอย่างไร

ผู้รู้ คำว่า ผู้รู้” ไง นี่เพราะว่าเขาเขียนมาว่าไปฟังครูบาอาจารย์มาต่างๆ แล้วก็ฟังหลวงพ่อด้วย หลวงพ่อก็ผู้รู้ๆ น่ะ

ผู้รู้ เราจะใช้ผู้รู้รู้ในอะไร

ถ้าผู้รู้เห็นกาย กายนอก กายใน กายในกาย กายของจิต

ถ้ากายนอกมันก็มีสติมีสัมปชัญญะระดับหนึ่ง เวลามันเห็นกายมันพิจารณากายของมัน มันพิจารณากายของมัน พิจารณาไปนี่โสดาปัตติมรรค มันก็มีผู้รู้ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เวลามันเป็นสกิทาคามิมรรคมันต้องมีสมาธิมากขึ้นเข้มแข็งขึ้นๆ นี่ผู้รู้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เวลามันพิจารณากามราคะ ปฏิฆะ มันเป็นเรื่องกามราคะ เป็นเรื่องปฏิฆะ มันจะเรื่องเกิดในกามภพ นี่ผู้รู้ ๗๕ เปอร์เซ็นต์

เวลาอรหัตตมรรค เวลามันจะถอดถอนตัวรู้ ถอดถอนภวาสวะ ถอดถอนภพ ทำลายภพเลย ทำลายภพคือปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เป็นที่อยู่ของพญามาร ครอบครัวมาร เจ้าวัฏจักรมันอยู่ตรงนี้ เวลาทำลายมัน ทำลายเจ้าวัฏจักร ตูม! จบ ทำลายผู้รู้หมดเลย พระอรหันต์ไม่มีจิต ไม่มีผู้รู้ มีแต่ธรรมธาตุ ธาตุของธรรม เกิดจากธาตุของความเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์แล้วประพฤติปฏิบัติถึงธาตุของธรรม

นี่พูดถึงในการปฏิบัติในวงกรรมฐานที่มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นโรงงานใหญ่ที่ผลิตพระอรหันต์เป็นชั้นเป็นตอนมา เขาประพฤติปฏิบัติสัมมาสมาธิ จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปนะ

ไอ้ผู้รู้รู้ในวิปัสสนา รู้นั้นการแตกต่างหลากหลาย เพราะคำถามว่า ได้มีโอกาสฟังเทศนาจากที่ต่างๆ ซึ่งพระอาจารย์ต่างๆ กล่าวถึงผู้รู้แตกต่างกัน

กล่าวถึงผู้รู้แล้วเราก็งงกับผู้รู้ไป จบ

รู้สึกตัวก็นั่นคือผู้รู้ เรารู้สึกตัวอยู่ ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์คือผู้รู้สมบูรณ์ สมบูรณ์ในปุถุชน สมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ปุถุชน กัลยาณชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เกิดจากจิตดวงนั้น จิตที่พัฒนาเป็น ๔ คู่ เป็นบุคคล ๔ บุคคล เป็นบุคคล ๘ บุคคล ๔ คู่ เวลามันเป็นมันรู้ของมันชัดเจน ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

ศาสนาพุทธ ในการวิปัสสนาในวงกรรมฐานเขาแหกตาไม่ได้ เขาหลอกกันไม่ได้ มีผู้รู้จริงอยู่

ไอ้ที่เขาแหกตาเขาหลอกกันเขาไว้หลอกประชาชน ไว้หลอกไอ้พวกเหยื่อ ไว้หลอกไอ้พวกที่อยากให้เขาส่งเสริมยกย่องให้เป็นขั้นนั้นขั้นนี้ ส่งเสริมยกย่องกับความเป็นจริงในใจของเราไม่เหมือนกัน

เราประพฤติปฏิบัติได้มรรคได้ผลมันเป็นผลงานของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก จิตดวงนั้นรับรู้ ไม่มีใครส่งเสริม ไม่มีใครเยินยอ ไม่มีใครทำให้ได้ ต้องทำด้วยตัวเอง

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ที่ว่าจะทำให้จะดูแลให้ แล้วเราก็ไปเป็นเหยื่อนั่นน่ะ เขาไว้หลอกพวกนั้น แต่พวกที่เป็นจริงเขาหลอกไม่ได้ พระกรรมฐานเขาหลอกกันไม่ได้ หลอกกันไม่ได้เพราะมันเปิดเผยท่ามกลางหัวใจ

เว้นไว้แต่ว่าเรามีวุฒิภาวะสูงต่ำเชื่อคนง่ายไง เชื่อคนง่าย อยากเป็นเหยื่อ อยากเป็นบริษัทบริวารเขา อยากเป็นพวกเขา เห็นเขาคนเยอะๆ อยากเป็นพวกเขา อยากเป็นเกล็ดเกล็ดหนึ่งที่ไปแปะบนเนื้อตัวเขา

แต่วงกรรมฐานนะ ท่านให้อยู่ป่าอยู่เขา ท่านให้อยู่ในความที่สงบสงัดที่ความเงียบ แล้วพยายามค้นคว้าหาสัจจะหาความจริงในใจของตนเพื่อหาผู้รู้ ต้นเหตุ ตัวเหตุ ต้นเหตุคือหัวใจของคน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ตัวรู้คือตัวต้นเหตุ เอวัง